ข่าวประชาสัมพันธ์ รู้ทันเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ทำไมถึงต้องตรวจ HIV ?

Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ติดต่อจากคนสู่คน เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อ HIV โดยปกติจะไม่มีอาการบ่งชี้ที่ชัดเจน ในบางรายอาจมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มีไข้ เจ็บคอ ปวดศรีษะ ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น อย่างไรก็ตามจุดมุ่งหมายที่สำคัญของ HIV คือ ทำลายภูมคุ้มกันในร่างกาย โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 จนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ ผู้ติดเชื้อ HIV จะเข้าสู่สภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือที่รู้จักกันว่า AIDs

การที่เรารู้ว่าตัวเองติดเชื้อ HIVหรือไม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะการทราบสถานะผลเลือดจะนำไปสู่การป้องกันและการดูแลตัวเอง เข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างถูกต้องทันท่วงที การที่เราจะรู้ว่ามีการติดเชื้อ HIV หรือไม่ ก็ต้องอาศัยการตรวจ HIV อย่างเดียวเท่านั้น  เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าถ้าร่างกายแข็งแรงดีแสดงว่าไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด และการที่รู้สถานะว่าตนเองและคู่นอนไม่ติดเชื้อ HIV นั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ทั้งคู่จะได้เริ่มต้นการป้องกันการติดชื้อ HIV อย่างจริงจัง  และถ้าตรวจแล้วเจอว่ามีการติดเชื้อ HIV ก็ถือว่าโชคดีที่รู้ตัวไว ได้เข้ารับการรักษารวดเร็ว ก่อนจะแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น และจะได้ป้องกันไม่ให้คนที่เรารักติดเชื้อตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าแม้การตรวจ HIV จะทำให้เกิดความกังวล หรือแม้กระทั่งความเครียด แต่การตรวจ HIV ทำให้เราได้ประโยชน์ต่อการวางแผนป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HIV ในอนาคต และประโยชน์ต่อการเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยไม่ต้องรอให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ AIDs ได้เลย

ปัจจุบันวิธีการตรวจหาเชื้อ HIV มีหลายวิธี และสามารถตรวจพบการติดเชื้อฯ ได้ไวหลังจากเกิดความเสี่ยงหรือการสัมผัสเชื้อขึ้น จึงอยากจะชวนทุกคนมาดูกันว่า เราใช้วิธีการใดในการตรวจเอชไอวีกันบ้างในปัจจุบัน

  1.  ตรวจหา Antibody และ Antigen (P24) เป็นการตรวจหา Antibody ที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี และส่วนโปรตีนของเชื้อ P24 Antigen โดยปัจจุบันนิยมใช้น้ำยา4th generation” ที่สามารถตรวจได้หลังจากการติดเชื้อ HIV ได้ตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป
  2. การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV (Nucleic Acid Amplification Testing: NAT) ตรวจหา RNA จากพลาสมาแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative) ของเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เข้ามาในร่างกาย ที่สามารถตรวจหาการติดเชื้อHIV ได้ตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป
  3. การใช้ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง (HIV Self-Test Kit) เป็นการตรวจหาAntibodyที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี ในร่างกาย ทั้งทางเลือดจากปลายนิ้วเเละจากสารคัดหลั่งในช่องปาก โดยใช้น้ำยา ” 3rd generation” ที่สามารถตรวจได้หลังจากการติดเชื้อ HIV ได้ตั้งแต่ 21-30 วันขึ้นไป

การตรวจหาการติดเชื้อ HIV สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่เรารู้ว่าเรามีระยะหลังจากความเสี่ยง หรือหลังสัมผัสการติดเชื้อเพียงพอต่อวิธีที่เราจะใช้ในการตรวจหรือไม่ เพราะเราอาจอยู่ในระยะที่ตรวจหาเชื้อไม่พบ หรือ ระยะ Window Period อย่างไรก็ตามหากเราตรวจในระยะ Window Period แล้วไม่พบการติดเชื้อ HIV ก็สามารถตรวจยืนยันผลอีกครั้งตามระยะเวลาที่เหมาะสมของวิธีการที่เราใช้ในการตรวจก็จะสามารถยืนยันผลได้เช่นเดียวกัน

แม้ในปัจจุบันการตรวจ HIV จะสามารถตรวจได้สะดวก รวดเร็ว และไม่น่ากลัว แต่หากเรารู้ตัวว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีภายใน 72 ชั่วโมง ก็สามารถรับยาต้านไวรัสฉุกเฉิน Post Exposure Prophylaxis หรือที่เรียกกันว่ายา PEP หรือ nPEP ได้โดยการเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อรับยาที่สถานพยาบาล และทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 1 เดือน ก็จะสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวีได้

บทความโดย   ปกิตตา คิดสำเร็จ
นักจิตวิทยาให้การปรึกษา
                  ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย

Similar Posts